ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าสี่ขากว่าร้อยตัว
ฉันรู้สึกว่าชีวิตเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมด
ไม่น่าเชื่อว่าการคลุกคลีกับสัตว์ที่พูดไม่ได้
และ(บางครั้ง)เดาใจไม่ออก
จะทำให้ฉันสามารถอยู่กับคนได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น
ไม่มีเงื่อนไข และไม่คาดหวัง
นึกถึงเรื่อง
“พบกันวันคิดถึง”
หรือ See
you anytime I want
ของคิคุตะ
มาริโกะ
หนังสือภาพเล่มเล็กๆ
ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานมหกรรมหนังสือเด็กโบโลนญา
ปี 1999
และจำหน่ายมาแล้วกว่า
1,000,000
เล่มในประเทศญี่ปุ่น ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย พรอนงค์ นิยมค้า
เป็นเรื่องราวความผูกพันของเพื่อนรักคู่หนึ่ง
ชิโระกับมิกิ
เหตุเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้า
พอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจัง
ผมจะได้พบมิกิจังเสมอ
แม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กัน
ภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เรายังคงเหมือนวันเวลานั้น
ผมพบกับมิกิจัง
ทุกเวลาที่คิดถึง
........
ชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้า
พอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจัง
ผมจะได้พบมิกิจังเสมอ
แม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กัน
ภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เรายังคงเหมือนวันเวลานั้น
ผมพบกับมิกิจัง
ทุกเวลาที่คิดถึง
........
เป็นหนังสือที่หยิบเอาเรื่องความตายมาอธิบายได้อย่างสวยงาม
ทั้งยังบอกวิธีรับมือกับความเศร้าได้อย่างอ่อนโยน
ภาพลายเส้นง่ายๆ ของหมาน้อยในหนังสือ
เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่อ่าน
แม้บางครั้งจะดึงให้เรานึกถึงเรื่องที่อยากร้องไห้
หมาแมวบ้านสี่ขาล้วนมีความเป็นมาที่น่าเศร้า
หลายตัวผ่านการถูกทำร้าย
อดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและความรัก
จึงเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งกายและใจ
ถึงจะพลิกฟื้นคืนความแจ่มใสได้
แต่หลายตัวก็อายุไม่ยืนยาวนัก
การนั่งมองเพื่อนสี่ขาหมดลมหายใจในมือของฉันตัวแล้วตัวเล่า
ไม่ได้ทำให้เกิดความเคยชิน
การจากพรากแต่ละครั้งยังสะเทือนใจไม่ต่างกัน
ยุ่งยิ่งเป็นหมาเล็กๆ
อีกตัวหนึ่งที่ฉันรับเลี้ยงไว้
ครั้งแรกที่พบกันนั้น
เป็นระหว่างทางที่ฉันกลับจากการจัดรายการวิทยุที่
FM
103 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ลูกหมาตัวหนึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น
แทบทุกตารางนิ้วของผิวหนังเต็มไปด้วยเห็บ
หมัด และเหา
ทั้งเกาะติดแน่นและไต่ยั่วเยี้ยเต็มตัวจนไม่อาจนับจำนวนได้
ฉันขนลุกเมื่อมองเห็บที่กระจุกอยู่เหมือนเมล็ดข้าวโพดในฝัก
ลูกหมาตัวนี้กำลังจะตาย
ดวงตากลมโตแต่เซื่องซึมของมันบอก
พี่น้องตัวอื่นๆ ของมันถูกขายไปแล้ว
เหลือแต่ยุ่งยิ่งที่ตัวเล็ก
อ่อนแอ และไม่สวย
แม่ของมันกำลังถูกบำรุงเพื่อท้องลูกครอกใหม่
ยุ่งยิ่งเป็นหมาที่ไม่มีใครอยากได้
แม้แต่เจ้าของของมัน
“ขอได้ไหม”
ฉันถามเจ้าของ และเมื่อเขาบอกอย่างไม่สนใจว่า
“ก็เอาไปสิ”
ฉันจึงหยิบเจ้าตัวกระจ้อยร่อยเบาหวิวใส่ถุงและรีบพาไปหาหมอ
สัตวแพทย์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นปริมาณเห็บหมัดบนตัวเจ้าหมาน้อย
ยุ่งยิ่งโตขึ้นเป็นหมาแคระแกร็นเพราะสุขภาพไม่ดี
หมอบอกว่าหมาตัวนี้อายุไม่ยืน
แต่ฉันพยายามยืดชีวิตมันไว้ให้นานที่สุด
ให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ขาดไปในวัยเยาว์
แต่ยุ่งยิ่งเป็นโรคโลหิตจางและมีภูมิคุ้มกันต่ำ
มันจึงป่วยบ่อยๆ ด้วยสารพัดโรค
นานกว่าห้าปี กับการวนเวียนกินยา
ฉีดยา และให้น้ำเกลือ
ยุ่งยิ่งอยู่กับฉันอย่างน่ารักน่าสงสาร
มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว
พอใจเพียงแค่ได้มานอนซุกเงียบๆ
อยู่บนตัก
และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันอุ้มไปเดินเล่น
ยุ่งยิ่งสามารถนั่งนิ่งๆ
ได้นานครึ่งค่อนวัน
มีเพียงดวงตากลมโตที่กลอกตามความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา
อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจากหมาตัวไหนๆ
แม้ในชั่วโมงเจ็บปวดทุรนทุราย
ตาคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่น
ฉันเขียนเรื่องนี้ หลังจากขุดหลุมฝังยุ่งยิ่ง
แดดจัดจ้าทำให้ผิวดินร้อนระอุ
ทั้งแน่นและแข็ง
เหวี่ยงจอบแต่ละทีสะเทือนไปทั้งไหล่
แต่ฉันก็พยายามขุดให้ลึกที่สุด
เพื่อให้ถึงเนื้อดินเย็นๆ
ข้างล่าง
ฉันบรรจงจัดท่านอนให้ยุ่งยิ่ง
เกลี่ยดินกลบตัวมันจนแน่น
แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนมันอยู่อีกนาน
คิดว่าข้างใต้นั้นคงเย็นสบาย
เจ้าหมาน้อยจะไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป
ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้
ทุกชีวิต จะคนหรือหมา
สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่ผืนดิน
นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ฉันเคยนั่งเงียบๆ อยู่บนพื้นดินใต้ต้นสะเดาเก่าแก่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน
ลึกลงไปใต้โคนต้นสะเดา
ฝังกระดูกของพ่อฉันไว้
ตอนนั้นฉันก็คุยกับพ่อว่า
ข้างใต้นั้นคงเย็นสบายนะ
พ่อน่าจะหลับสบาย ใช่ไหมพ่อ
ไม่มีใครจากไปอย่างแท้จริง
ตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอ
ตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอ
เราพบกับคนที่เรารัก
ทุกเวลาที่คิดถึง
No comments:
Post a Comment