September 04, 2012

ชายหนุ่ม กับหมา(ตัวเมีย)ที่เขาไม่เคยเลี้ยง




บางทีฉันรู้สึกว่า การพยายามเข้าใจหมา ง่ายกว่าเข้าใจคนด้วยกันเสียอีก
เรื่องนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง เป็นบ้านสี่ขาสาขาย่อยที่ฉันไปๆ มาๆ สลับกับบ้านนอก

อย่ารู้เลยว่าหมู่บ้านไหน เพราะชายหนุ่มก็อยู่บ้านถัดจากฉันไปสัก 3-4 หลัง ยังเห็นหน้าค่าตากันอยู่ ขืนบอกไป เผลอๆ อาจมีใครสักคนเดือดร้อน (จะใครซะอีกล่ะ!)

ชายหนุ่มเป็นข้าราชการ กรมกองไหนก็ช่างเขาเถอะ สมมตว่าชื่อคุณสมชายก็แล้วกัน 
คุณสมชายเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้านสองตัว ชื่อขาวกับปุย ผอมซี่โครงบานเชียวละ

ฉันเคยหิ้วถุงข้าวเหนียวไก่ย่างเดินผ่าน เห็นพวกมันเกาะรั้วตาละห้อย (เจ้าของไม่อยู่) น้ำลายหยดแหมะๆ ครางหงิงๆ อย่างน่าเห็นใจจนต้องยอมสละไก่ให้มัน

แม่ฉันเคยคลุกข้าวกับน้ำแกงจืดใส่ขันพลาสติกใบเก่าไปให้หมา คุณสมชายขับรถกลับจากที่ทำงานพอดี

"พอดีมีข้าวเหลือค่ะ ก็เลยแบ่งมาให้" แม่ออกตัว

"โอ๊ย ไม่ต้องลำบากหรอกป้า ผมเองยังไม่ค่อยให้มันเลย" เขาพูดหน้าตาเฉย "ความจริงผมเลี้ยงหมาตามธรรมชาตินะ ให้มันหากินเอง"

โอ้ว พระเจ้า จอร์จ คิดได้ไงเนี่ย อาชญากรรมชัดๆ


..............

สายวันหนึ่งที่แดดร้อนจัด ฉันเห็นเจ้าขาวล้มอยู่หน้าบ้านของมัน มีเจ้าปุยร้องงี้ดง้าดอยู่หลังประตูรั้วที่คล้องกุญแจไว้ ไม่เห็นรถยนต์ เดาว่าคุณสมชายไม่อยู่

การช่วยชีวิตสำคัญกว่า ฉันรีบอุ้มเจ้าขาวนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปคลินิกหมอป้อมเจ้าประจำ ที่ตรวจหมาๆ แมวๆ บ้า่นสี่ขาจนคุ้นเคยกัน 
หมอตรวจอยู่พักใหญ่จึงบอกว่าขาวเป็นพยาธิหนอนหัวใจ ไตวาย ตับเสื่อม โลหิตจาง แถมยังขาดอาหารอย่างรุนแรง

"คงไม่รอดละค่ะ" หมอป้อมฟันธง แต่ก็อุตส่าห์ฉีดยา ให้น้ำเกลือ ให้อาหารเสริมและยามาป้อน(เผื่อมีปาฏิหาริย์)

"หมอคิดแต่ค่ายาฉีดแล้วกัน" หมอป้อมบอกอย่างมีน้ำใจ เธอรู้ว่าฉันไม่ใช่เจ้าของหมาตัวนี้

แต่ปาฏิหาริย์ไม่เกิด (ถ้าเกิดง่ายๆ คงไม่ใช่ปาฏิหาริย์)
เจ้าขาวกลับจากคลินิกมานอนหายใจระรวยอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ส่งเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวดทรมาน ฉันได้แต่ลูบเนื้อลูบตัวปลอบมัน ภาวนาให้เจ้าของกลับมาทันดูใจ 
เจ้าขาวทุรนทุรายอยู่นานนับชั่วโมงจนบ่ายแก่ๆ จึงหมดลม เหลือแต่นังปุยที่ร้องคร่ำครวญอยู่หลังประตูรั้ว

แม่ให้ฉันทิ้งเจ้าขาวไว้ที่เดิม ให้คุณสมชายกลับมาจัดการหมาเขาเอง
……….......................

ผ่านไปเดือนหนึ่ง แม่ก็ได้เจอคุณสมชายจังๆ ตอนเอาขยะออกไปทิ้ง

"คุณสมชาย หมาไปไหนตัวหนึ่งล่ะคะ เห็นเคยมีสองตัว" แม่ชวนคุย
"ตายไปแล้วละป้า อยู่ๆ ก็ตาย ไม่รู้เป็นอะไร" เขาตอบ
"ไอ้ตัวที่เหลืออยู่นี่ก็ท้องใหญ่แล้วนะคะ ท่าจะมีลูกหลายตัว" แม่คุยต่อ
"ฮ้า ตัวไหนท้องล่ะป้า ผมมีแต่ไอ้ปุยนะ" เขาบอก
"อ้าว ก็นังปุยนั่นแหละค่ะ ป้าว่ามันท้องนะ เห็นท้องมันโตขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย เอ๊ะ คุณไม่สังเกตหรือคะ " แม่เริ่มงง

"เฮ้ย ไม่จริงหรอกป้า ท้องได้ไง ผมไม่เคยเลี้ยงหมาตัวเมีย" เขาว่าแล้วเดินเข้าบ้านเฉยเลย ปล่อยแม่ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตก กลับมาเล่าให้ฉันฟังด้วยความงงสุดๆ

ผ่านมาสักครึ่งเดือน อยู่ๆ ยามหมู่บ้านก็มาตะโกนเรียกแม่ เพราะมีคนไปฟ้องว่าเดินผ่านหน้าบ้านเราแล้วถูกหมากัด เขาให้ยามมาถามหาคนรับผิดชอบ

เป็นไปไม่ด๊ายยย...แม่เถียงขาดใจ บ้านนี้ไม่เคยปล่อยหมาให้อยู่ข้างนอก ฉันจึงต้องออกไปตามล่าหาเรื่องจริง(ไม่ผ่านจอ)

เวรกรรม ความจริงที่เจอคือนังปุยมาคลอดลูกใต้พุ่มไม้ใกล้ๆ ประตูบ้านเรา

พุ่มไม้นั้นรกและทึบ แต่คนที่เดินผ่านประจำย่อมไม่ระวังอะไร ปกติปุยเป็นหมาขี้ขลาด แต่สัญชาตญาณการปกป้องลูกอ่อนทำให้มันหวาดระแวงจนเกินปกติ พอมีใครเดินเฉียดเข้าใกล้ ความกลัวว่าลูกจะมีอันตรายทำให้มันชิงลงมืองับเอาเสียก่อน

แม่บอกยามว่าปุยเป็นหมาบ้านคุณสมชาย  
ยามไปหาคุณสมชาย เขาก็บอกว่าไม่ได้เลี้ยงหมาตัวเมีย ถ้าไอ้ปุยเป็นหมาตัวเมีย ก็ไม่ใช่หมาของเขา (ตรรกะประหลาดที่สุด!??)

คนถูกหมากัดไม่ยอม บอกว่ายังไงๆ ต้องมีคนรับผิดชอบ หมาอยู่หน้าบ้านใครก็คนนั้นแหละ!
(เอ๊า งานก็เข้าบ้านฉันละสิ!!)

คุยไปคุยมา ปรากฏว่าเขาไม่ได้มีแผลอะไรเพราะใส่กางเกงยีนส์ แต่เขาว่าเขาตกใจ ฉันต้องยอมจ่ายค่าตกใจไปห้าร้อยบาท เรื่องจึงจบ

"ทำไมถึงไม่ไปคลอดบ้านเธอหา นังปุย ทำงี้ฉันเดือดร้อนรู้มั้ย"

ฉันโวยวายระบายอารมณ์ไปงั้นเอง เพราะรู้ๆ ว่าอีตาสมชาย(ที่ไม่สมเป็นลูกผู้ชาย)นั่น ไม่ให้ปุยเข้าบ้านมาเป็นเดือนแล้ว

ปุยแหงนมองฉันตาแป๋ว แล้วก้มลงไปเลียลูกๆ

ฉันพยายามใจแข็งกับการจำกัดปริมาณสมาชิกบ้านสี่ขา จึงได้แต่เอาร่มมากางกันแดดกันฝนให้ปุยกับลูกๆ เอากระถางใส่ข้าวใส่น้ำมาวางไว้ให้ กับคอยบอกใครๆ ให้ช่วยเดินห่างหน้าบ้านฉันสักพักหนึ่ง พ้นระยะลูกอ่อนแล้ว นังปุยก็จะเลิกดุ

แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีคนไปฟ้องกรรมการหมู่บ้านเรื่องหมาจรจัด คุณยามคนเดิมถูกสั่งให้ซื้อยาเบื่อมาจัดการหมา เขาขี่จักรยานพาใบหน้าเหี่ยวๆ มาหาฉันกับแม่

"คุณช่วยเอาเข้าบ้านไปได้ไหมล่ะครับ กรรมการเขาไม่เห็นหมา เขาจะได้นึกว่าจบเรื่องแล้ว" คุณยามแนะนำง่ายๆ แต่พอเห็นฉันหน้าหงิกก็รีบพูดต่อ

"ที่จริงผมอยากเลี้ยงไว้ แต่ไม่ไหวจริงๆ จะขนไปทิ้งที่อื่นผมก็ไม่อยากทำ จะฆ่าหรือจะทิ้งมันก็บาปทั้งนั้น แต่ถ้าไม่จัดการตามคำสั่ง ผมมีหวังตกงาน"

คุณยามเงินเดือนแค่หกพัน มีเมียมีลูกๆ ต้องเลี้ยงอีกหนึ่งโขยง ฉันมองดูใบหน้ากลัดกลุ้มของเขา กับมองนังปุยที่ลุกขึ้นยืนคร่อมลูกๆ ไว้ด้วยท่าทางกระวนกระวายแล้วเห็นใจทั้งคนทั้งหมา

ไม่มีทางเลือก ฉันจำใจขนย้ายปุยกับลูกสี่ตัวเข้าบ้าน ปวดหัวหนึบๆ เมื่อนึกถึงปากท้องที่เพิ่มมาอีกห้าชีวิต

ฉันปูผ้านุ่งเก่าๆ ให้ลูกหมานอน ปุยปุยคงทนตากแดดตากฝน ทนอดทนหิวอยู่นอกบ้านนาน พอได้เข้าบ้านอีกครั้ง มันจึงตื่นเต้นมาก วิ่งไปดมลูกๆ ดมที่นอน แล้วก็ดมตรงนั้นตรงนี้ สลับกับวิ่งกระดิกหางริกๆ มาเลียมือฉัน 
เห็นท่าทางดีใจของปุยปุยแล้วฉันก็ใจอ่อนยวบ
หมาก็ไม่ต่างจากคน ต้องการที่พึ่งพาอาศัย ต้องการความใส่ใจใยดี

ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากฉันกับแม่และคุณยาม แม่คอยหาจังหวะถามนายสมชายว่าหมาของเขาหายไปไหนเสียแล้ว

"ไม่รู้เหมือนกันป้า พักนี้ผมงานยุ่งเสียด้วย มันคงหนีเที่ยวมั้ง"

"หรือว่ามันไปหาที่ออกลูก" แม่(แกล้ง)สันนิษฐาน

"เอ๊ะ ออกลูกอะไรกันล่ะป้า" เขาทำท่าหงุดหงิด "ก็บอกแล้วว่าผมไม่เคยเลี้ยงหมาตัวเมีย"

หลังจากวันนั้น แม่ก็ไม่ได้พยายามจะทักทายหรือพูดคุยกับนายสมชายอีก 

บางทีฉันก็รู้สึกจริงๆ ว่า ฉันยินดีทำความเข้าใจหมา มากกว่าเข้าใจคน (บางคน)

No comments:

Post a Comment

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...