บานไม่รู้โรย


๑.
ทุกคนอยากมีความสุข
ขณะเดียวกัน ทุกคนก็มีความแตกต่าง ทั้งรูปแบบของความสุข ความสามารถในการแสวงหาความสุข รวมทั้งปัจจัยที่นำไปสู่ความสุข
บางคนต้องการเวลา บางคนต้องการใครบางคน บางคนต้องการเงิน บางคนต้องการวิธีการ บางคนต้องการทุกอย่าง และคงมีบ้าง ที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่
บางคนค้นหาความสุขจากความทรงจำในอดีต บางคนดื่มด่ำกับความสุขที่ซื้อหามาได้ บางคนฝันถึงความสุขจากความสำเร็จในอนาคต
แต่ไม่ว่ารูปแบบของความสุขของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าจุดมุ่งหมายคงไม่ต่างกัน เราปรารถนาความสุขที่จะทำให้การอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ เป็นเรื่องสนุกสนาน ความสุขที่จะทำให้การทำงานเป็นโอกาสพิเศษของการเติบโตงอกงาม ความสุขที่สร้างแรงบันดาลใจ ทำให้การลืมตาตื่นในแต่ละวันมีความหมายและเต็มไปด้วยพลังชีวิต

.        
ระหว่างทำหน้าที่บรรณาธิการร้อยเรียงเนื้อหาของหนังสือเล่มหนึ่ง ฉันนึกสนุกทำตัว ติสท์ ด้วยการแสวงหาแหล่งทำงานใหม่ๆ เพื่อบิลท์ อารมณ์ให้ต่างไปจากการอยู่บ้าน (ที่เต็มไปด้วยตัวก่อกวนสี่ขา) มีทั้งห้องสมุด ท่าเรือข้ามฟาก บนเรือด่วนเจ้าพระยา ในร้านอาหาร ที่ทำงานเพื่อน บนรถประจำทาง กลางสวนสนุก บางทีก็สวนสาธารณะ และบางครั้งก็ศาลาวัด
ครั้งหนึ่ง แบกโน้ตบุ๊คเครื่องโบราณไปนั่งที่ร้านกาแฟริมถนนพหลโยธิน ทั้งที่ไม่ใช่คอกาแฟ นั่งทำงานพลาง สูดกลิ่นหอมกรุ่นจากถ้วยกาแฟ (ของคนอื่น) ไปพลาง
ร้านนั้นมีหลักการชงกาแฟว่าต้องใช้น้ำที่อุณหภูมิ ๙๔ องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นองศาความร้อนที่มีผลต่อฟองครีมและรสชาติของกาแฟมากที่สุด คนชงบอกว่าถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า ๘๐ องศา รสชาติจะอ่อนเกินไป ถ้าสูงเกิน ๙๖ องศา รสชาติกาแฟจะขม ฝาด และมีกลิ่นไหม้ ดื่มไม่อร่อย ตัวเลข ๙๔ คือค่าเฉลี่ยที่ลงตัวที่สุด
ฉันคิดถึงรสชาติความสุขของชีวิต กว่าที่เราจะรู้ว่าต้องชงในสัดส่วนและอุณหภูมิเท่าไรจึงพอเหมาะ คงต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง
ถ้าหากปริมาณกาแฟ น้ำตาล และครีม ทำให้กาแฟแต่ละถ้วยแตกต่าง ความสุขที่เราแต่ละคนชงเองในสัดส่วนตามใจชอบ ก็คงหวาน ขม ข้นเข้ม แตกต่างเช่นกัน
น่าสนใจว่าความสุขของแต่ละคนใช้อุณหภูมิในการชงกี่องศา

๓.
ครั้งหนึ่ง ฉันมีโอกาสใช้ช่วงเวลาอบอุ่นกับเพื่อนหลากหลายวัยในวงสุนทรียสนทนา นำโดยพี่ใหญ่ วิศิษฐ์ วังวิญญู และอาจารย์ฌานเดช พ่วงจีน ในค่ำคืนที่ฝนเมืองเชียงรายกำลังพรมภูเขาอย่างเริงร่า เราคุยกันถึงความกล้า ความกลัว ความรัก ความหลง ความเขลา และการขัดเกลาตนเอง
ณ ขณะหนึ่ง ท่ามกลางธรรมชาติ เราพูดคุยกับตนเอง นิ่งฟังเสียงภายใน และนำผลการเรียนรู้มาเล่าสู่กันฟัง เราต่างรู้สึกถึงความสุขที่ผุดพรายขึ้นในความคำนึง ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส และเมื่อนำออกมาวางเผื่อแผ่แก่กัน ก็พบว่าความสุขช่างหลากหลายและรื่นรมย์
การได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นของแม่
รสชาติหวานเย็นชื่นใจของแตงโมสดฉ่ำในวันที่ร้อนอบอ้าวของเดือนเมษายน
ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายหลังการปลดทุกข์ในห้องน้ำ
ได้นอนห่มผ้าอุ่นๆ ใต้หลังคาสังกะสีที่ฝนกำลังหล่นใส่ดังกราวๆ
ได้รับเงินเดือนเดือนแรกในชีวิตการทำงาน
ช่วงเวลาที่ได้อ่านนิทานกับลูกก่อนนอน
การได้สัมผัสขนนุ่มนิ่มของแมวตัวอ้วนๆ
อ้อมแขนโอบเอื้อของมิตรในยามหัวใจอ่อนล้า
เมื่อได้ขับรถแล่นฉิวบนถนนโปร่งโล่งของมหานคร
การได้ช่วยเหลือใครสักคนที่กำลังทุกข์ร้อนสาหัส
มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าตรู่วันหนึ่ง
การได้ค้นพบคำตอบบางประการที่หมกมุ่นครุ่นคิดตลอดมา
ค่ำคืนอันสุขสบาย เมื่อแหงนเงยขึ้นสบตากับพระจันทร์ที่ลอยนิ่งสงบอยู่เบื้องบน
เสียงกระซิบหวานของคนรักและช่วงเวลาของความเข้าอกเข้าใจ
ฯลฯ

หลายครั้งที่การทำความเข้าใจความสุขของผู้อื่น คือการขยายอาณาจักรแห่งความสุขของตนเอง
เราต่างยิ้มให้กันและกัน
แท้จริงแล้ว รอบตัวเรามีความสุขล่องลอยอยู่ ทุกที่ ทุกเวลา

ไม่ยากที่จะค้นหา และไม่ยากที่จะพบ

No comments:

Post a Comment

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...