จั่วหัวไว้ว่า 48 เรื่อง
มีชะงักนิดหนึ่ง เฮ้ยไม่มากไปเหรอวะเรา เกิดเขียนไม่ถึง นึกไม่ออก
หรือหมดอารมณ์เขียนก่อนล่ะ (ตามประสาคนเอาแต่ใจ)
แต่พอนึกอีกที เฮ้ย
ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ ตื่นมาหายใจปีละตั้ง 365 วัน วันละตั้ง 1440 นาที คนเรามันต้องมีเรื่องในชีวิตกันบ้างแหละ
ไอ้เรามันคนชอบ “หาเรื่อง” อยู่แล้วนี่นา กะอีแค่ 48 เรื่อง จะหาไม่เจอเชียวหรือ
ส่วนไอ้จะหมดอารมณ์เขียนก่อนหรือเปล่านั้น
ไม่แน่ใจเหมือนกัน มีทางเดียวคือต้องรีบเขียนก่อนหมดอารมณ์
เอาเถอะ งานนี้ไม่มีใครมากำหนดหัวเรื่อง
ตีกรอบเวลา หรือความสั้นยาวสักหน่อย ไม่มีคนมานั่งทวงต้นฉบับยิกๆ แล้วนี่ก็ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ที่หากไม่เขียนก็เรียนไม่จบ
ฉะนั้น ฉันจะหยิบเรื่องไร้สาระบ้าบอ (ของถนัด) อะไรมาเล่า ก็คงไม่มีใครว่า ใครใคร่อ่านก็อ่าน
ไม่สนุกอ่าน เขาก็เลิกไปเอง
แล้วทำไมต้อง 48 เรื่อง
เหตุผลง่ายๆ ก็แค่
วันนี้เป็นวันที่ฉันลืมตาดูโลกมาครบ 48 ปีน่ะสิ
กรี๊ดดดดดด
ช่างเป็นตัวเลขที่น่าใจหายอะไรเช่นนี้ 48 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
นี่ฉันต้องเริ่มนับถอยหลังแล้วสินะ
กับการใช้ชีวิตบนโลกกลมบ้างเบี้ยวบ้างใบนี้ ให้หมัดกัดสิน่า! นี่ฉันยังมีเรื่องทั้งที่อยากทำและต้องทำอีกบานเบอะ ฉันจะทำทันหรือนี่
ไม่กี่วันก่อน มีอุกกาบาตพุ่งเข้ามาชนโลก
โชคดี(หรือร้ายไม่รู้) มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผู้คนแถบรัสเซียบาดเจ็บเป็นพัน
อาคารบ้านเรือนถูกแรงอัดกระแทกแตกกระจาย
ฉันดูข่าวอย่างพรั่นพรึง เฮ้ย
ถ้ามันพุ่งมาแถวดอนเจดีย์ ฉันจะเอาหมาแมวร้อยกว่าตัวไปหลบตรงไหนดีหว่า
ข่าวนี้ทำให้ฉันจิตตกเป็นพักๆ สลับกับแหงนมองฟ้าอยู่บ่อยๆ
ไม่รู้จะเจอเหตุด่วนเหตุร้ายวันไหนบ้าง โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว
(ขนาดมีเรื่องต้องทำตั้งมาก
แต่ฉันยังอุตริเอาเวลาอันมีค่ามาเขียนอะไรไร้สาระอยู่นี่ ก็นี่แหละฉันละ)
วันก่อนมีคนมาถามอะไรฉันสักอย่าง น่าจะถามทางมั้ง
แถวป้ายรถเมล์ เรียกฉันว่าป้าด้วย ป้า ! โอ๊ย อยากจะกรีดร้องให้ก้องโลก
ทำไมต้องเรียกป้า (เรียกพี่ได้ไหมมมมม.....อยากจะครวญเพลงของเสรีย์ รุ่งสว่างขึ้นมาทันที)
โธ่ๆๆๆ แค่ส่องกระจกเห็นหน้าเหี่ยวๆ
กับริ้วรอยที่ทยอยเพิ่มทุกวัน ฉันก็กลุ้มจะแย่แล้ว ทำไมต้องมาตอกย้ำซ้ำเติมกันอีก
ไม่ใช่ไม่ยอมรับความจริงนะ ความแก่เป็นเรื่องธรรมชาติ
สังขารมันก็เป็นไปตามกาลเวลา รู้ เข้าใจ ไม่ได้ดันทุรัง แต่มันก็ไม่อยากฟัง
เข้าใจไหม
แถมคนเรียกน่ะ หน้าตาไม่ได้ห่างจากฉันสักเท่าไรเลย
เผลอๆ ตีนกาจะมากกว่าอีกด้วย มันน่าเจ็บใจตรงนี้แหละ ถ้าเป็นเด็กตัวน้อยๆ ต่อให้เรียกป้าเรียกยายก็จะไม่ว่าสักคำ
เมื่อไรจะเข้าเรื่องสักที(วะ)
ฉันถามตัวเอง
อารัมภบทอยู่ได้ ฉันว่าตัวเองอีก
1.ฉันเป็นคนชอบพูดกับตัวเอง
จำได้ว่าเป็นตั้งแต่เด็ก แต่งนิทานนิยาย เล่าอะไรให้ตัวเองฟังไปเรื่อย บางทีก็ปรึกษาตัวเอง ถามบ้าง เถียงบ้าง ยุยงส่งเสริมบ้าง ด่าตัวเองนี่ก็บ่อย “โอ๊ย อีบ้า ทำไมแกงี่เง่าหยั่งงี้” มักด่าในเวลาที่คิดว่าตัวเองทำอะไรไม่เข้าท่า (ซึ่งทำบ่อย)
2.วันนี้
เมื่อ 36 ปีก่อน เริ่มเขียนสมุดบันทึกประจำวัน หาสมุดปฏิทินเก่าๆ มาเขียนวันที่ใหม่เอง
คิดอยู่นานว่าจะเรียก ไดอารี่จ๋า หรือ สมุดที่รัก ดีกว่ากัน ไป ๆ มา ๆ
ก็ไม่เรียกอะไรทั้งนั้น อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเลย แล้วก็ปรากฏว่า เรื่องที่เขียน มีแต่ประเภท วันนี้ตื่นนอน ไปโรงเรียน คุยในห้องจนครูดุ ทำเวรถูห้องเรียนแล้วก็กลับบ้าน พอโตมาได้อ่าน "บันทึกของแอนด์ แฟรงค์" แล้วก็รู้สึก โว้ย ทำไมเรามันไร้สาระอย่างนี้ (วะ)
3.ตอนอายุ 4 ขวบ อุตริปีนขึ้นไปย่งโย่ยงหยกบนกระถางต้นไม้ริมระเบียงบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้ไต้ถุนสูง ผลคือ ไม้กระดานรองกระถางหัก! กระถางหล่น แม่เล่าว่า ได้ยินเสียงโครม เสียงโพละ เสียงตุ้บ วิ่งออกมาดูไม่เห็นอะไร แต่พอชะโงกมองลงไปที่พื้นดินข้างล่าง ก็ร้องกรี๊ด ๆ เพราะลูกสาวกองอยู่กับเศษกระถางแตก เลือดโชกเต็มหัว วันนั้นฉันร้องลั่นโรงพยาบาลอยู่อย่างเดียวคือ ไม่เอา ไม่ฉีดยา ๆ ๆ จากนั้นก็ถูกโกนผมไปแถบหนึ่ง กับมีผ้าก๊อซแปะหัวไปโรงเรียนอยู่นานทีเดียว
4.ชื่อจริงของฉันที่เคยใช้มาตลอด 40 ปี เป็นชื่อที่แม่หยิบยืมมาจากนวนิยายประโลมโลกย์เรื่องหนึ่ง นางเอกชื่อ ม.ร.ว.
พราวพิลาศ ภูผาเรือง (สวย รวย เก่ง ฉลาด ผิดกับฉันราวฟ้ากับเหว)
5.ช่วงหนึ่งในวัยเด็ก พอทำการบ้านเสร็จตอนกลางคืน ฉันจะมุดมุ้งย่องออกไปแอบดูโทรทัศน์บ้านอื่น ด้วยการยืนเขย่งอยู่บนลังไม้ตรงมุมมืดๆ มองลอดลูกกรงระเบียงบ้านเขา เห็นจอโทรทัศน์ในมุมเอียงๆ ดูภาพไม่รู้เรื่องหรอก อาศัยฟังเสียง เขย่งไปขยับขาไปเพราะยุงกัด เมื่อยจนทนไม่ไหวถึงจะย่องกลับ เรื่องนี้ให้แม่รู้ไม่ได้ เพราะแม่คงจะทุกข์ใจมากที่ไม่มีโทรทัศน์ให้ลูกดูเหมือนใคร ๆ
6.เรื่องดีๆ
ในชีวิตอย่างหนึ่ง คือแม่พยายามเก็บเงินพาลูกๆ ไปกินไอศกรีมที่ศาลาโฟร์โมสต์
ครั้งแรกกับสถานที่ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไป(เพราะไกลเกินฝัน) ได้กินไอศกรีมซันเดย์
ละเลียดกินอยู่นานจนไอศกรีมแทบละลาย ไม่อยากให้มันหมดเร็ว กินหมดจดแทบจะเลียถ้วย เดี๋ยวนี้มีเงินซื้อกินเองแล้ว
แต่ศาลาโฟร์โมสต์ไม่มีแล้ว และไอศกรีมก็ไม่เคยอร่อยอย่างนั้นอีกเลย
7.ตอนอยู่ชั้น
ป.7 (โบราณได้อีก) หัวหน้าห้องเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนห้องไปประกวดมารยาทงาม (ใช่แล้ว
ฉันนี่แหละ อ่านไม่ผิดหรอก โฮ่ะโฮ่ะ)
แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับความเห็นชอบจากคุณครูประจำชั้น เพราะครูเห็นว่ามี(หลาย)
คนที่มารยามงามกว่าฉัน (ครูคงกลัวขายหน้าห้องอื่น) เลยไม่รู้ว่า
ระหว่างครูกับเพื่อน ใครรู้จักตัวตนจริงๆ ของฉันมากกว่ากัน
8.ฉันถักผมเปียสองข้างแน่นเปรี๊ยะไปโรงเรียนทุกวันนาน 6 ปีเต็มๆ บางวันก็ถักอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่เคยแกะ เพราะขี้เกียจถักใหม่ แทบจะพูดได้ว่าถักเปีย 24 ชั่วโมง (แกะเฉพาะตอนสระผม) ถักจนรอยแสกกลางจากเหนือหน้าผากถึงท้ายทอยเห็นเป็นเส้นเด่นชัด
9.ฉันอ่านหนังสือออกตอนอนุบาล 2 เป็นเรื่องที่แม่ภูมิใจมาก
แต่หนังสือเล่มแรกๆ ที่อ่าน ไม่ยักใช่นิทานสำหรับเด็ก กลับเป็นหนังสือฟ้าเมืองไทย
กับนิยายภาพเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ฝีมืออาจารย์เหม เวชกร แถมยังติดนิยายเพชรพระอุมา ในนิตยสารจักรวาลรายสัปดาห์ กับบ้าคลั่งสายลับรหัสจ. แห่งองค์การครุฑดำ จักรวิดา กฤษฎากานต์ ในมัจจุราชสีรุ้ง เอามาก ๆ
10.ตอนอยู่ ป.5 ฉันเริ่มได้เงินไปโรงเรียนวันละ 2 บาท ก๋วยเตี๋ยวที่โรงเรียนก็ชามละ 2 บาทแล้ว พุทรากวนของโปรดกรวยละ 50 สตางค์ ค่ารถสองแถวไปโรงเรียนและกลับบ้านวันละ 1 บาท ฉันพยายามอดทนไม่กิน ไม่ขึ้นรถ แต่เดินเอาทั้งไปและกลับ หาเศษกระดาษมาพับถุงขายแม่ค้ากล้วยแขกในราคา 100 ใบสิบสลึง เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือการ์ตูนยอดธิดารายปักษ์ เล่มละ 5 บาท ฉันติดการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง
ไออิกับมาโกโต้ และสะสมภาพวาดจากการ์ตูนเรื่อง แคนดี้จอมแก่น
ไม่อยากจะคุย(แต่ก็คุย) ว่าฉันวาดแคนดี้ได้เหมือนมากๆ
11.สืบเนื่องจากข้อ 10 นึกได้ว่า ความจริงก่อนหน้านั้น ฉันติดวรรณกรรมชุดบ้านเล็ก ของลอร่า อิงกัลส์
เป็นหนังสือชุดใหญ่ในห้องสมุดของโรงเรียนอนุบาลนครสวรรค์ ฉันอ่านตอนอยู่ป.3 และติดห้องสมุดจนอยากกินนอนอยู่ในนั้น
ตามอ่านจนครบ 7 เล่ม และใฝ่ฝันอย่างแรงกล้าว่าเมื่อโตขึ้น จะทำงานเก็บเงินซื้อหนังสือชุดนี้เป็นของตัวเองให้ได้ (ทำไมต้องโตขึ้นและทำงานเก็บเงิน ก็บ้านฉันไม่ค่อยมีกิน ฉันยังไม่เคยมีเงินไปโรงเรียน
และราคาหนังสือตอนนั้นก็ไกลเกินฝันเอามากๆ เลยแหละ)
12.เดือนตุลาคม 2516 ฉันจำได้ดี นักศึกษาวิทยาลัยครูในจังหวัด พากันเดินขบวนผ่านหน้าบ้าน ผู้ใหญ่พูดคุยกันเงียบๆ แต่น่ากลัว ตอนนั้นฉันอ่านหนังสือคล่องแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้ว่า กรุงเทพมหานครนั้นอยู่ห่างจากบ้านแค่ไหน ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยความตื่นตระหนกทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย คำที่จำฝังใจ คือคำว่า วันมหาวิปโยค กับคำว่า วีรชน ภาพถ่ายบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่ติดตา คือภาพ "ไอ้ก้านยาว" ยืนถือไม้สู้กับทหาร กับภาพคุณจีระ บุญมาก ที่มีธงชาติคลุมร่าง
13.เมื่อสัก 15 ปีก่อน เคยลุกขึ้นมานั่งเขียน 100 สิ่งที่อยากทำก่อนตาย เขียนแล้วก็ลืมไป (บ้ามั้ยล่ะฉัน) มาวันนี้นึกย้อนไปดู
น่าจะทำไปได้สัก 3 อย่างมั้ง ไม่รู้ว่าไอ้ที่เขียนๆ ไปตอนนั้น
มันเพ้อเจ้อเกินที่จะทำได้จริง หรือเป็นเพราะเรามันคนจับจดไม่เอาจริงกันแน่
แถมพอนั่งทบทวนดีๆ ปรากฏว่า ไอ้ที่เคยอยากทำก่อนตายเมื่อตอนนั้น มีอยู่หลายสิ่งเลยที่ตอนนี้คิดว่า
ให้ตายก็ไม่ทำหรอกวะ เสียเวลา คาดว่า อีก 10 ปีข้างหน้า (ถ้ายังอยู่นะ)
ก็คงเปลี่ยนความคิดอีกแหละ ทำไมฉันถึงเป็นคนโลเลอย่างนี้นะ
14.ปี 2530 เคยทำงานหนัก เพื่อเตรียมจัดงานใหญ่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ไม่ได้นอนติดกัน 2 วัน 2 คืน (48 ชั่วโมงกว่าๆ) ปรากฏว่าวันที่ 3 ตาลอย
นั่งพิมพ์ดีดอยู่แต่ไม่รู้ตัวว่าพิมพ์อะไร ใครถามอะไรก็ไม่รู้ตัวว่าตอบอะไร
จนมีคนบอกให้ไปนอน เดินไปนอนอย่างไรและที่ไหน จนบัดนี้ก็ยังจำไม่ได้ นึกว่าคราวนั้นจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต
แต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ทำงานนิตยสารในสำนักพิมพ์หนึ่ง
ก็ได้เจอกับสภาพการณ์แบบนั้นอีก และเจอทุกเดือนในช่วงปั่นต้นฉบับเพื่อปิดเล่ม
15.หนึ่งในวงดนตรีสุดโปรด
ตั้งแต่สาวจนแก่ คือ เฉลียง เคยเขียนจดหมายถึงศิลปินคนแรกในชีวิต คือ พี่เจี๊ยบ
วัชระ ปานเอี่ยม และได้รับจดหมายตอบ ด้วยลายมือสวยๆ
และถ้อยความจริงใจแบบพี่ชายคุยกับน้อง มีคำอวยชัยให้พรมาด้วย
ประทับใจจนอกแทบระเบิด
16.นักเขียนคนโปรดก็มี
เคยเขียนจดหมายเช่นกัน ยาวเหยียดถึง 3 หน้ากระดาษ บอกว่ารักภาษาของเขา
ขอเป็นน้องสาวเขา แต่ไม่ได้ส่ง(ซะงั้น) จำไม่ได้ว่าทำไม ไม่กล้าส่ง (เพ้อเกิน)
หรือหาที่อยู่เขาไม่ได้ก็ไม่รู้ นักเขียนท่านนั้นคือ คุณสิริมา อภิจาริน
17.แฟนคนแรกของฉัน (วุ้ย อยากจะคุยบ้างนะว่าเคยมีแฟนกะเขาเหมือนกัน มีหลายคนด้วยแหละ หุหุ) ชื่อมนตรี
เรียนอยู่ห้องเดียวกัน คือ ป.4 ค แบบว่าไร้เดียงสามาก เด็กสมัยนั้นไม่รู้จริงๆ
หรอก อะไรยังไง แค่ล้อๆ กันสนุกว่าคนนั้นแฟนคนนี้ คนนี้แฟนคนโน้น (สมัยนี้เร็วกว่านั้นอีก มีแฟนกันตั้งแต่อนุบาลนั่นแน่ะ)
แล้วแฟนกันทำอะไรมั่งน่ะหรือ จำได้อย่างเดียว (จริงๆ) ว่าเวลาถึงเวรฉันทำหน้าที่เก็บถาดอาหารกลางวันไปคืนห้องครัว
มนตรีจะถลันออกมา (หรือถูกเพื่อนผลักก็ไม่รู้) แบบหน้าแดงหูแดง
มาช่วงชิงถาดอาหารแทนฉันทุกที ฉันเลยสบายไป สงสัยนั่นจะเป็นเรื่องโรแมนติกสุดๆ
แล้ว สำหรับนิยายรักฉบับสิบขวบ
18.เรื่องมนตรียังไม่จบ
ถึงวันไหว้ครู ฉันได้รับเลือกให้ถือพาน เพื่อนๆ ทายว่าฉันต้องได้ถือพานคู่กับมนตรี
แต่ปรากฏว่าคุณครู (ซึ่งไม่ได้อินกับเรื่องของเด็กๆ สักนิด) เลือกสันทัด
ซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง มนตรีเลยจ๋อยไป ต่อมามีงานโรงเรียน
ฉันได้รับเลือกให้แสดงรีวิวประกอบเพลง ใต้ร่มธงไทย ครูให้คู่กับโสภณ อีกงานเป็นการเต้น Modern Dance เพลง Yesterday Once More ปรากฏว่าได้คู่กับณัฐวุฒิ
สามงานติดกันทำให้เพื่อนๆ ล้อว่ามนตรีอกหัก แล้วนิยายรักสิบขวบก็จบลงจริงๆ
ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากว่าจะต้องยกถาดอาหารเองเท่านั้นแหละ
19.ฉันชอบดูหนังซ้ำ ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าเป็นหนังดีที่คู่ควร แต่มันแปลกตรงหลายเรื่องที่ฉันหยิบมาดูบ่อยๆ ไม่ยักกะใช่หนังดีในดวงใจใครต่อใคร ไม่ใช่หนังรางวัล ไม่ใช่หนังทำเงิน
บางเรื่องก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นหนังห่วย ไร้ซึ่งการจดจำเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
ฉันคงมีต่อมหรือติ่งไร้สาระอะไรที่หนังมันไปสะกิดเข้าละมั้ง ตัวอย่างหนังก็เช่น The Village ,The Art of War, Eagle Eye, คู่แรด, แจ๋ว ดูเอาเถอะ
มีใครเลือกพวกนี้เป็นหนังในดวงใจกันบ้างล่ะ
.
20.เคยสอบโครงการเรือเยาวชนฯ
ผ่านข้อเขียน แต่ตอนสอบสัมภาษณ์ (ภาษาอังกฤษ) อาจารย์ผู้สัมภาษณ์ท่านหนึ่งถามว่า
ฉันจะเล่าให้เพื่อนชาติอื่นฟังเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับประเทศไทย ฉันก็เลยเล่า
อาจารย์ฟังจบก็ดุว่า พูดตรงเกินไป เรื่องบางเรื่อง ถึงจะจริงก็ไม่สมควรพูด พอตอนประกาศผลก็ไม่มีชื่อฉัน (ไม่แน่ใจว่าเพราะตอบผิด
หรือใช้ภาษาอังกฤษผิด แต่ถึงตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้วว่าตอบอะไรไปบ้าง
จำได้อย่างเดียวว่า “อย่าได้พูดทุกอย่างที่คิด แต่จงคิดทุกอย่างที่พูด”)
21.เป็นคนกินเผ็ดมาก
อยากเลิกแต่ยังเลิกไม่ได้ ตอนทำงานอาสาพัฒนาภาคอีสาน กินข้าวเหนียวกับตำบักหุ่งแบบลาวๆ (ใส่แต่ปลาร้ากับพริกแห้งกำมือหนึ่ง) แทบทุกวัน
22.ความที่ตัวเตี้ย (เพื่อนล้อว่าคนแคระ) ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองทั้งอ้วนและตันอยู่ตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งพะวงเรื่องน้ำหนักจนกินน้อยลงมาก
คำที่ติดปากคือ “ไม่เอา เดี๋ยวอ้วน” บางวันไม่กินมื้อเย็นเลย แล้วก็บ่นหิวๆๆๆๆ จนเพื่อนรำคาญ
ด่าว่า เธอไม่ได้เป็นโรคอ้วนหรอก เธอมันเป็นโรคประสาท นั่นแหละถึงได้สติ
23.ตอนที่เรียนวิชาศิลปะ
หลายครั้งอาจารย์ให้ไปนั่งวาดภาพอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บางทีก็สนามหลวง
นักท่องเที่ยวชอบมายืนดู ทั้งไทยทั้งฝรั่ง รู้สึกอายมาก แต่เก๊กหน้านิ่งสุดฤทธิ์
รู้ตัวเลยว่าไม่ชอบให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ
24.เคยมีละครโทรทัศน์ไปถ่ายที่มหาวิทยาลัย ชื่อเรื่องจำไม่ได้ วัยซน
หรือวัยอะไรสักอย่างนี่แหละ มีคนมาขอยืมชุดยูโดของฉันให้นักแสดงหญิงคนหนึ่ง บอกว่ามีแต่ฉันที่ตัวเล็กพอๆ
กับนักแสดงคนนั้น อุ๊ย ภูมิใจ รีบกลับหอไปหยิบมาให้ทันที เพราะเทอมนั้นฉันเรียนจบขั้นพื้นฐานไปแล้ว ยังไม่มีเงินจะเรียนระดับสูงขึ้น เลยห่อเก็บไว้ก่อน ละครถ่ายกันยาวนาน และปิดกล้องไปตอนไหนไม่รู้ ชุดยูโดก็หายสาบสูญไปด้วย ตามไม่ได้
ไม่รู้จะตามที่ใคร เสียใจอยู่หลายวัน เพราะฉันเก็บเงินอยู่นานกว่าจะซื้อได้
25.ความทรงจำแจ่มชัดอีกหนหนึ่ง
คือร่วมขบวนพี่ๆ ไปช่วยเหลือเด็กที่พัทยา หลายสิบปีมาแล้วละ พี่ๆ
ในขบวนนั้นมีพี่หยุย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ และ ดร.สายสุรี จุติกุล ด้วย
เด็กชายสิบขวบถูกฝรั่งล่อลวงไปขายบริการทางเพศ และกระทำอนาจาร
จำได้ว่านั่งอยู่บนโรงพัก ฟังเรื่องราวที่ตำรวจบุกไปบ้านฝรั่งเพื่อช่วยเด็กออกมา
(ฝรั่งสวมกางเกงเกือบไม่ทัน)
น้องบอกตำรวจว่า “เขาบอกว่าจะซื้อของเล่นให้หนู ให้หนูทำตามที่เขาสั่ง”
จำได้ว่าแววตานั้นไร้เดียงสามากๆ ได้เห็นได้ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ
26.บ้าการ์ตูนญี่ปุ่นมาก เก็บเงินซื้อมากองเต็มห้องหลายร้อยเล่ม เคยอ่านตั้งแต่ตื่นนอนยันตะวันตกดิน ข้าวปลาไม่สนใจ อาการนี้เป็นกับนวนิยายจีนกำลังภายในด้วย อ่านฤทธิ์มีดสั้นไม่หลับไม่นอน โดนดุก็คลุมโปงและเปิดไฟฉายอ่าน
`
27.มีคนสอนให้ขับรถ
แล้วก็เคยขับรถ (ของคนที่สอนนั่นแหละ) จากชะอำมากรุงเทพฯ ครั้งเดียวในชีวิต
จากนั้นก็ไม่ได้จับรถยนต์อีกเลยตลอด 12 ปี จนบัดนี้ไม่กล้าพูดแล้วว่าขับรถเป็น
28.เคยสอบ ก.พ.ได้ลำดับที่ 83 จดหมายเรียกมาเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวขณะกำลังเมามันกับงานนิตยสาร ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ 3 กระทรวงการต่างประเทศ ไปถึงกระทรวงฯ แล้วแท้ ๆ (ตอนนั้นยังอยู่ที่สนามหลวง) ดันเปลี่ยนใจซะงั้น ไม่อย่างนั้นชีวิตปัจจุบันอาจไม่ใช่แบบนี้ สิ่งเดียวที่เสียใจ คือทำให้แม่เสียใจ (แม่ฝันอยากให้ลูกรับราชการ)
29.สมัยที่ยังทำงานเอ็นจีโอเมื่อ 20 ปีก่อน เคยเขียนไว้บนปกสมุดบันทึกว่า ชีวิตนี้มีความปรารถนาอยู่ 4 อย่าง (จำไม่ผิดน่าจะลอกจากหนังสือของอัลแบร์ กามูส์) คือ อยู่ในที่โล่ง รักใครสักคน
พ้นจากความทะเยอทะยาน และทำงานสร้างสรรค์ ทบทวนดูในวันนี้แบบไม่หลอกตัวเอง
คิดว่าได้ทำอย่างที่ปรารถนาแล้วทั้งหมด ดีใจมาก
รำพึงถึงความหลังประสาคนแก่มาเกินครึ่งทางแล้ว
ชักจะเบลอ ลองนึกเรื่องที่ได้เรียนรู้บ้างดีกว่า ความจริง 48 ปีมานี้
น่าจะได้รู้อะไรต่อมิอะไรเป็นล้านๆ เรื่อง แต่เอาเท่าที่คิดเร็วๆ ตอนนี้ (ซึ่งง่วงนอนมาก) ก็แล้วกัน
30.คนเราไม่ว่าอายุเท่าไร
ก็สามารถคิดผิดและทำพลาดกันได้เสมอ
31.ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
แถมความจริงยังน่ากลัวกว่าความตายเสียอีก
32.ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
แต่จะเป็นทางที่เราพอใจหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง
33.คนทุกคนมีความลับ ทั้งที่ไม่อยากบอก และที่บอกไม่ได้
34.การกอดช่วยชีวิตได้
แม้แต่การได้กอดหมาหรือแมวสักตัว ก็ช่วยยืดอายุหัวใจ
35.รักแท้ มีหรือไม่มีอยู่จริง อยู่ที่ประสบการณ์ของคนที่พูด
36.เวลาไม่สบายใจ จงออกไปเดินเล่น
37.อย่ากินเผ็ดเกินไป
ชีวิตจะลำบากหลายเรื่อง
38.หน้าตาของคน
ทั้งที่มีองค์ประกอบเท่ากัน คือ ตา จมูก ปาก หน้าผาก แก้ม พอจัดวางต่างกันแค่องศาเดียว
ก็เกิดใบหน้าต่างๆ นับล้านล้านใบหน้า เป็นความมหัศจรรย์สุดๆ ของธรรมชาติ
39.แต่ที่มหัศจรรย์พันลึกยิ่งกว่าใบหน้า
คือความซับซ้อนในจิตใจ
40.ไม่ว่าจะทำอะไร
เราต้องเตรียมรับผลของการกระทำเสมอ
41.หมาซื่อสัตย์กว่าคน
42.สิ่งที่เอากลับคืนมาไม่ได้คือเวลา
43.การผัดวันประกันพรุ่ง
สุดท้ายจะมีแต่ความเสียดายและเสียใจ
44.”ขอบคุณ”
และ “ขอโทษ” เป็นคำสั้นๆ เล็กๆ
แต่มีคุณค่ามหาศาล
45.ถ้าไม่แน่ใจว่าจะกินหมด
อย่าตักเยอะ เป็นกฎ(และมารยาท) พื้นฐานของการกินบุฟเฟ่ต์ ซึ่งหมายถึง
มีอาหารกองกลางสำหรับทุกคนกินร่วมกัน แต่มีคนจำนวนมากไม่เคารพกฎข้อนี้ จึงมีอาหารมากมายที่ถูกกินแบบทิ้งขว้าง
และมีคนมากมายที่ไม่มีกิน
46.ความดีทำได้ทุกวัน
47.อย่าให้อารมณ์บงการถ้อยคำ
48.ปลูกต้นไม้ทุกโอกาสที่ทำได้
49.เรารู้ว่าเราไม่รู้
ดีกว่าเราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
50.ไม่ว่าอายุเท่าไร
เราได้บทเรียนบทใหม่เสมอๆ ในทุกๆ วัน
กรี๊ดดดดดด ในที่สุดก็เขียนครบ มีเกินมา 2 ข้อด้วย เขียนเผื่อไปอีก 2 ปีเลยแล้วกัน
No comments:
Post a Comment